Review : Master Pulse Over Ear

1

สวัสดีครับ ผม Unjikung  วันนี้ทางผมมี Product ตัวใหม่จากทาง Cooler master มารีวิวอีกเช่นเคยสินค้าตัวนี้คือหูฟัง Master Pulse Over Ear นั้นเอง ซึ่งเจ้าตัวนี้เป็นสินค้าในซีรี่เดียวกันกับ Master Pulse In ear ที่เคยมีรีวิวก่อนหน้านี้ ถ้าเพื่อนๆคนไหนยังไม่เคยเห็นว่าเจ้า Master Pulse In ear เป็นยังไง ก็สามารถตามไปที่ Link นี้ได้ครับ

https://www.mtmstudioclub.com/mtm-reviews/reviewcooler-master-masterpulse/

 

และกลับมาทางตัวหูฟังที่เราจะมารีวิวในวันนี้ครับ เจ้าตัว  Master Pulse นี้ เค้ามาในแบบ Over Ear ซึ่งจะสวมใส่แบบ ครอบหูทั้งหมดครับผม จะเหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการความเต็มอิ่มของเสียงหรือการฟังเพลงที่ครบถ้วนและรวมไปถึง การเล่นเกมด้วย ว่ากันมาเยอะแล้ว เราลองมาดูหน้าค่าตาของเจ้าตัว Master Pulse Over Ear กันเลยครับผม

 

 

Appearance

1

2

ตัว Packaging ออกแบบดูดีมีไสตล์เลย เปิดหน้ากล่องออกมาจะเจอ Spec อยู่ด้านใน พร้อมกับตัวหูฟังครับ

3

4

 

มาดูที่ตัวหูฟังค่อนข้างมีน้ำหนักนิดนึงเพราะเป็นอลูมีเนียมชั้นดี อาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความเบาหรือคล่องตัวครับ ตรงตัวหูฟังด้านซ้ายมีรูกลมเล็กๆอยู่นั่นคือ ไมค์ที่ติดกับหูฟังครับผม

5

มาถึงเจ้านี่ครับ ตัวชูโรง Bass FX  ซึ่งเป็น Clip แปะกับตัวหูฟังโดยใช้แม่เหล็ก สามารถถอดออก หรือเอาใส่ได้ไม่ยากเลยครับ ซึ่งทาง Cooler Master ได้พัฒนาตัวนี้เพื่อให้คนสวมใส่เลือกได้ตามใจชอบ ปรับเปลี่ยนเสียงของเบสได้โดยไม่ต้องใช้ Software

6

7

 

ตัวสายเองเป็นแบบแบนสีแดง ดูเท่ห์ดีครับ และมีข้อดีไม่พันกันเวลาเก็บ รวมไปถึง มีตัวปิด/เปิดไมค์ และ ตัวปรับ Volume ของเสียงครับ

8

นอกจากนี้มีของแถมมาให้ 1 ชิ้นคือ  adaptor เพื่อต่อเข้ากับ Sound card PC ครับ

9

10

 

ตัว Ear pad ค่อนข้างหนาและนุ่มมาก ซึ่งทำให้เวลาสวมใส่สบายและใส่ได้เป็นเวลานาน ตัวคาดศีรษะทำมาเพื่อให้เข้ากับหัวทุกแบบ สวมใส่ได้ง่าย

 

11

12

 

เวลาสวมใส่ครับ ทั้ง Bass FX off  (ติด Clip ไว้ที่หูฟัง) และ Bass FX on (เอา Clip ออกจากหูฟัง) ครับ

Earphone
Driver 44mm driver
Frequency Response 20~20,000Hz
Impedance 50Ω
Sensitivities (@100Hz) 118dB ± 3dB
109dB ± 3dB (bass off)
Max output power 100mW
Cable Length 1.2m (audio adapter 0.3m)
Connector 3.5mm gold-plated headphone jack
Microphone
Pick-up Pattern Omni-Directional
Frequency Response 100~10,000Hz
Sensitivity -34 ± 3dB (0db = 1V/pa.1KHz)
Signal to Noise Ratio 50dB or more
EAN Code 4.71951E+12
UPC Code 8.84102E+11

 

อันนี้คือ Spec ซึ่งเจ้าตัวนี้ให้ Driver มาขนาด 44 มม. ซึ่งรับรองได้เลยว่าเจอ Impact เต็มลูกแน่นอนเลยครับ

 

Sound Test

 

การทดลองเสียงของผม ขอแบ่งเป็น 2 ส่วน ใหญ่ๆ นะครับ คือ เล่นเกมส์ กับ ฟังเพลง เชื่อมต่อกับ PC เป็นหลักครับ โดยไม่มี Sound card แยกนะครับ เอาง่ายๆคือต่อตรงเลย  และตัวหูฟัง Burn In อยู่ที่ราว 20 ชม. ครับ

 

เล่นเกมส์ จากที่ลองเกมส์มาหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็น Open world, Sports หรือแนว FPS เสียงที่ได้มานั้น ค่อนข้างชัดเจนและแยกแยะได้ง่ายโดยถ้าใช้โหมด Bass Fx Off (ติด Clip ไว้ที่หูฟัง) จะยิ่งแยกแยะได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเสียงฝีเท้า หรือเสียงกระสุนที่ยิงผ่านไป อาจจะไม่ได้แยกทิศทางได้มากขนาด 7.1 Sound แต่ก็พอบอกได้ว่ามาทางไหนครับ แต่ ใช้โหมด Bass Fx On (เอา Clip ออกจากหูฟัง) จะมีจุดเด่นคือ เสียงพวก Effect เช่น ระเบิดหรือเสียงคนเชียร์พอเวลาเล่นเกมส์กีฬาจะทำให้สนั่นมากยิ่งขึ้น แต่มันจะลดความเฉียบของเสียงย่านเล็กๆ น้อยลงไปนิดนึงครับ ซึ่งอันนี้แล้วแต่คนชอบครับ ว่าจะเลือกแบบไหน

 

ฟังเพลง – ลองมาหลายแนวเลยครับไม่ว่า Pop, Rock, Bossa, EDM, R&B และอีกมากมาย ผมยังเพิ่มเติม ไฟล์เพลง พวก Lossless เผื่อบางท่านที่มีไฟล์เพลงและการดูหนังเข้าไปอีก เสียงที่ได้มานั้นค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจครับ รับได้ทุกแนวครับ เสียงย่านกลางค่อนข้างทำได้เด่นออกมาข้างหน้า รวมไปถึงเสียงสูง ที่ไม่บาดหู ครับ การแยกแยะชิ้นดนตรีทำได้พอตัว ถึงแม้จะสู้พวก Audiophile ไม่ได้แต่ก็ทำได้ดีเมื่อเทียบกับ Gaming Headphone ด้วยกัน  ถ้าใช้โหมด  Bass Fx On (เอา Clip ออกจากหูฟัง) ตัวเพลงจำพวก Rock  EDM หรือ Metal นี่สะใจเลยครับ เอามันส์ได้เลย เบสมาเต็มลูก แต่ไม่ได้กระแทกหนาหูเลย ถ้าอยากได้เสียงกลมกล่อมมานิดนึง เสียงคนร้องหรือเครื่องดนตรีที่ชัดมากขึ้นและเก็บตัวได้ดีก็ใช้โหมด Bass Fx Off (ติด Clip ไว้ที่หูฟัง) เลยครับ ฟังได้ทุกแนว ตามความชอบแต่ละบุคคลเลยครับ ^^

ส่วนด้านตัวไมค์ เสียงก็ค่อนข้างชัดเจน ไม่ก้องมาก เสียงรบกวนก็ไม่ได้มี แต่อย่างใดจากลองที่ Test นะครับ

 

 

 

 

 

ผมขอสรุปข้อดีและข้อเสียสั้นๆกันครับ เผื่อบางท่านชอบแบบกระชับมาอ่านตรงหน้าท้ายๆครับ

ข้อดี

  • สวมใส่สบาย Pad ที่ให้มาหนานุ่ม ทำให้ใส่ได้นาน
  • ดีไซน์ ดูเท่ห์ดุดัน
  • ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์ ครบหมด จบตัวเดียว
  • Bass Fx ที่ปรับเองได้โดยไม่พึ่ง Software สามารถเลือกตามความชอบได้เอง
  • เสียงเบสที่มาเต็มลูก ยิ่งเอา Clip ออกยิ่งมาเต็ม ไม่ว่าจะเป็น เกมส์ หรือ เพลง ยิ่งขาร็อค ยิ่งมันส์มาก
  • ราคาที่เอื้อมถึง (2,xxx บาท) เมื่อเทียบกับหูฟัง Audiophile ซึ่งมีราคาที่สูงกว่า

ข้อเสีย

  • มีน้ำหนักนิดนึง ตัวสายที่เชื่อมกับหูฟัง ไม่สามารถถอดออกได้ และ ตัวหูฟังไม่ได้มี Case ซึ่งอาจจะไม่เหมาะสำหรับการพกพา หรือความคล่องตัว
  • ตัว Clip ที่ปรับแต่ง Bass Fx นั้นเป็นแม่เหล็กเม็ดเล็ก อาจจะหลุดหายได้ (ตัวทดลองมีหลุดครับ)
  • ตัวสายที่ให้มานั่นไม่ได้มีความยาวมาก สำหรับบางคนที่ชอบความยาว
  • มีเสียงออกมากจากหูฟังเล็กน้อย ซึ่งอาจจะรบกวนคนอื่นที่ต้องการความเงียบ
  • ไม่มีไฟนะจ้ะ (อาจจะเป็นข้อดีสำหรับบางท่านที่ไม่ชอบไฟครับผม)

 

 

และแล้วก็มาถึงบทสรุปของเจ้า Master Pulse Over Ear ตัวนี้ครับ บอกได้เลยว่า เป็นหูฟังครบจบตัวเดียวจริงๆ ไม่ว่าดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์ เรียกได้ว่าครบ  ยังมีการปรับแต่งเสียงเบสเองได้ตามความชอบของแต่ละคนอีก รวมไปถึงการสวมใส่สบาย และ ราคาที่เอื้อมได้ ซึ่งทำให้มองข้ามตัวข้อเสียเล็กๆน้อยๆไปได้ และทำให้เจ้าตัว Master Pulse Over ear เป็นหูฟังในตัวเลือกของเพื่อนๆ ได้ไม่ยากครับ

 

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ Cooler Master  ที่ได้ให้โอกาสผมได้ทดลองผลิตภัณฑ์ดีๆ นะครับ วันนี้กระผมนาย Unjikung ขอลาไปก่อน  ถ้าได้มีโอกาสรีวิวอะไรอีก จะมานำเสนอให้เพื่อนๆ ได้ชมกันอีกครับ

 

Unjikung

Leave a Reply